“ข้าพเจ้าเข้าเรียนครั้งแรกเมื่ออายุได้ ๓ ปีเศษ...ระบบของโรงเรียนจิตรลดาในเวลานั้น จัดให้ครูประจำชั้นไปตามนักเรียนจนจบ ม.ศ. ๕ ภายหลังเมื่อมีนักเรียนมากขึ้นจึงจัดครูประจำชั้นไปตามความเหมาะสม...” (๖)
“...หรือพูดถึงโรงเรียนนี้มักจะกล่าวเสมอว่าสาเหตุที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวตั้งโรงเรียนนี้ขึ้น เห็นจะเป็นเพราะทรงเกรงวว่าพวกข้าพเจ้า ๔ คน พี่น้อง ไปเข้าโรงเรียนอื่นครูอาจตามใจ จึงทรงทรงตั้งโรงเรียนเอง...และทรงมอบอำนาจให้ท่านผู้หญิงและคณะให้ควบคุมดุว่า ทำให้พวกข้าพเจ้าเป็นสิทธขาดน่ากลัวยิ่งนัก...
...นั้นอาจจะไม่ไช่สาเหตุสำคัญของการตั้งโรงเรียนจิตรลดาในบริเวณพระราชฐาน ข้าพเจ้าไม่เคยกราบบังคมทูลถาม แต่คิดเอาว่าโรงเรียนมีกำเนิดมาด้วยเอาความเอาพระทัยใส่ในเรื่องพัฒนาการของเด็ก การศึกษาของเยาวชนของชาติ จึงมีพระราชประสงค์ที่จะทรงทราบและสังเกตการณ์โดยใกล้ชิด เพื่อที่จะได้พระราชทานคำแนะนำ และพระบรมราชานุเคราะห์ในด้านการศึกษาในทำนองเดียวกับโครงการส่วนพระองค์ด้านการเกษตร...ซึ่งเคยมีพระราชกระแสว่าทรงปฏิบัติด้วยพระองค์เองเช่นนี้ เพื่อจะได้ความรู้ไปโดยชาวบ้านจะได้วิธีการ การสันนิษฐานเช่นนี้สอดคล้องกับการที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้โรงเรียนจิตรลดาจดทะเบียนเป็นโรงเรียนราษฏร์ รับใบอนุญาตอย่างถูกกฏหมาย มีเจ้าหน้าที่กระทรวงศึกษาธิการมาตรวจและรองรับวิทยาฐานะ...‛ (๗)
“สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิรินธร ทรงเป็นเด็กที่คล่องแคล่ว ทรงทำอะไรได้อย่างรวดเร็ว ไม่ประทับอยู่นิ่งๆ ในที่หนึ่งที่ใดได้นาน ๆ ทรงได้รับพระราชทานฉายาว่า “สลาตัน” จากพระบาทสมเด็จเพระเจ้าอยู่หัว เพราะเวลาเสด็จไหนที่จะทรงปรู๊ด ปร๊าดมา มีลักษณะเหมือนกับสลาตัน” (๘)
สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถทรงดูแลการเรียนของพระราชธิดาอย่างใกล้ชิด ทำให้ทรงได้รับพระนิสัยทรงโปรดการอ่านทรงอ่านวรรณคดีไทยง่าย ๆ ได้แต่ทรงพระเยาว์และทรงได้รับการส่งเสริมให้ซื้อหนังสือแต่ยังทรงพระเยาว์จึงไม่น่าแปลกใจ ที่ในกาลต่อมาคราวใดที่เสด็จพระราชดำเนินเยือนต่างประเทศจะต้องเสด็จพระราชดำนเินเยือนร้านหนังสือและเจ้าภาพทั้งหลายก็ขวนขวายหาหนังสือถวายเป็นที่ระลึกยิ่งกว่าสิ่งอื่น ๆ
“ข้าพเจ้าเป็นคนชอบภาษาไทย อ่านภาษาไทยได้ค่อนข้างเร็ว... เมื่ออายุ ๖-๗ ขวบ สมเด็จทรงสอนให้อ่านหนังสือวรรณคดีต่าง ๆ จำได้ว่าที่ง่ายและสนุกเหมาะสำหรับการเริ่มต้นคือเรื่อง พระอภัยมณี ต่อด้วยเรื่องอื่น ๆ ได้แก่ อิเหนา และ รามเกียรติ์ เป็นต้น” (๙)
สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ทรงโปรดฯ ให้พระราชโอรสและพระราชธิดา อ่านหนังสือซึ่งจะช่วยในการสร้างจินตนาการและได้รับความรู้หลากหลาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสมัยนั้นมีโทรทัศน์อยู่เพียงไม่กี่สถานีเท่านั้น จึงไม่น่าประหลาดใจว่า เมื่อทรงเจริญวัยขึ้น ทรงรอบรู้วิทยาการต่าง ๆ มากมาย และได้ทรงเผยแพร่แก่สาธารณชนด้วยพระราชนิพนธ์ต่าง ๆ หลากหลาย โดยเฉพาะพระราชนิพนธ์เสด็จเยือนนานาประเทศ
“สมเด็จแม่โปรดให้เราอ่านหนังสือมากกว่าดูโทรทันศ์มีเหตุผลว่าดูโทรทัศน์ (ซึ่งในตอนนั้นมีอยู่เพียง ๒-๓ ช่อง) เหมือนกับการถูกสะกดจิตให้ต้องดูและฟังรายการที่ผู้จัดรายการเพียงคนเดียวจัดขึ้นในขณะที่หนังสือมีให้เลือกอย่างหลากหลาย นอกจากการอ่านหนังสือหลัก สื่อการศึกษาที่ทรงสนับสนุนคือการไปที่ต่าง ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งพิพิธภัณฑ์...
สมเด็จแม่ทรงอ่านหนังสือมาก...ท่านทรงซื้อหนังสือของท่านเอง ทรงซื้อพระราชทานให้ข้าพเจ้าอ่านจนโตก็ยังทำ ทรงแนะนำ การอ่านในใจและการอ่านดัง ๆ ซึ่งมีรับสั่งว่าจะช่วยให้ภาษาพูดของเราดีขึ้น ทรงสนับสนุนจัดตั้งห้องสมุด สะสมหนังสือ (๑๐)
“พูดถึงการเป็นนักอ่าน เราจำกันได้ว่าเวลาพักกลางวัน หลังรับประทานอาหารเสร็จจะเห็นทูลกระหม่อมโปรดที่จะเสด็จจะเข้าไปอ่านหนังสือในห้องสมุดบ่อย ๆ เคยทูลถามว่า ทรง ( ติดพระทัย) อ่านหนังสืออะไร ทรงตอบว่า “อ่านทุกอย่าง ตำรายาฟังอ่านเลย” แต่หนังสือที่ติดกันงอมแงมทั้งชั้นก็คือ เรื่อง ไซอิ๋ว (ซึ่งออกเป็นตอน ๆ อาทิตย์ละครั้ง) โตขึ้นมาก็มีเรื่องพลนิกรกับหงวนแล้วก็เรื่อง เพชรพระอุมา” (๑๑)
ทรงต้องเรียนพิเศษที่ไม่ใช่การทำการบ้านของโรงเรียน แต่ทรงเรียนภาษาตะวันออกต่าง ๆ ซึ่งได้นำไปใช้ในการศึกษาในระดับอุดมศึกษา และบัณฑิตศึกษา ที่ทรงทำวิทยานิพนธ์ในด้านภาษาตะวันออกได้อย่างแตกฉาน
“วิชาที่ข้าพเจ้าได้เรียนพิเศษหลังจากกลับจากโรงเรียนก่อนเวลาออกกำลังกาย หรือในวันหยุดและช่วงหยุดเทอม ได้แก่ ภาษาอังกฤษ ภาษาไทย ภาษาบาลีสันสกกฤต ภาษาเขมร ภาษาลาติน ภาษาฝรั่งเศส เปียโน วาดเขียน คณิตศาสตร์ และวิทยาศาสตร์ ฯลฯ ทรงเห็นว่าครูไหนดีก็ทรงไปขอร้องให้มาช่วยสอน...”
ไม่ทรงโปรดการเรียนเครื่องดนตรีสากล ในตอนแรก แต่สนพระราชหฤทัยดนตรีไทย ทำให้ดนตรีไทยกลับเป็นที่นิยมขึ้นมา‚พูดถึงเรื่องดนตรีนั้นรู้สึกว่าจะไม่พอพระทัยหรือผิดหวังอยู่บ้างในตอนที่ข้าพเจ้าไร้ความสามารถและความพยายามในการเรียนเปียโน ตอนมาเรียนดนตรีไทยก็ทรงบ่นว่า ตามเพื่อน
ต่อมาก็ทรงภาคภูมิพระทัยที่ข้าพเจ้าขับร้องเพลงไทย ...โปรดเกล้าฯ ให้แสดงดนตรีและร้องเพลงถวายอยู่บ่อย ๆ…
เมื่อตอนเล็ก ๆ โดนให้หัดกายบริหาร ซึ่งข้าพเจ้าไม่ชอบ ลองแล้วทั้งครูไทยและครูฝรั่งก็ไม่สำเร็จ ท่านก็ต้องมาทรงสอนเอง ปรากฏว่าท่านต้องสอนไปตะเบ็งไป ‚น้อยๆๆๆๆๆๆๆๆๆ...ปรากฏว่างานนี้ทรงเลิกไปเพระทรงเหนื่อย (กว่าทรงกายบริหารเอง) ให้ข้าพเจ้าไปหัดตีแบดมินตันและ “นับร้อย‛ กับทูลกระหม่อมพ่อแบบพี่ชายโดย (นับร้อย คือ ต้องตีแบดมินตันโต้ทูลกระหม่อมพ่อให้ได้ครบร้อยลูก ถ้าตีไม่ได้ก็ลดคะแนน) (๑๒)
แม้จะไม่ทรงโปรดการหัดกายบริหาร แต่ก็โปรดกีฬา แม้แต่ฟุตบอล “...พูดถึงเรื่องกีฬาแล้ว ทูลหม่อมทรงเล่นกีฬาทุกชนิด แม้แต่ฟุตบอลก็โปรดไปเล่นกับเด็กผู้ชายบ่อย ๆ ...มีอยู่สมัยหนึ่งคลั่งฟุตบอลกันมาก...จะซื้อหนังสือกีฬารีวิวมาถวายทุกงวด ซึ่งทูลกระหม่อมโปรดอ่านมาก ทรงติดตามข่าวคราวของทีมฟุตบอลต่าง ๆ ผลการแข่งขัน ตลอดจนประวัติของนักฟุตบอลแต่ละคน จนมีอยู่ครั้งหนึ่งมีการแข่งขันฟุตบอลระหว่างทีมข้าราชการบริหารกับทีมราชวัลลภที่หัวหิน และได้กราบบังคมทูลขอถ้วยรางวัลทูลหม่อมถึงกับทรงขัดกะลาเอง) เอามาวางแทนที่หล่อด้วยปูนปลาสเตอร์ ทำสีเข้าไปหน่อยก็ดูดี สวยเข้าที... (๑๓)
เมื่อทรงสำเร็จการศึกษาชั้นประถมศึกษาปีที่เจ็ด อันถือเป็นชั้นประถมศึกษาตอนปลาย ทรงได้รับพระราชทานรางวัลดีจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในงานแสดงศิลปะหัตถกรรมนักเรียนครั้งที่ ๑๓ ณ กรีฑาสถานแห่งชาติ เมื่อวันที่ ๑ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๑๑ เนื่องจากทรงสอบได้ที่หนึ่ง ได้คะแนนร้อยละ ๙๖.๖๐ ซึ่งการสอบครั้งนั้นเป็นการสอบรามทั้งประเทศ โดนใช้ข้อสอบของกระทรวงศึกษาธิการ (๑๔)